Last updated: 23 มิ.ย. 2568 | 38 จำนวนผู้เข้าชม |
ศ.นพ.อนุชา อภิสารธนรักษ์ ถาม:
หลวงพ่อครับ ช่วงหลังจิตตื่นรู้เกือบตลอดวัน แม้ขณะนอนมันก็ตื่นรู้เอง
เห็นขันธ์ห้าเกิด-ดับ เห็นผู้รู้เกิด-ดับ ..จิตอยู่กับอุเบกขา
ผลที่ได้คือ สติสัมปชัญญะในมหาสติ หรือจะเรียกว่าเหลือแต่มหาสติกับปัญญาในฐานจิตก็ได้
ตอนนี้เห็นเลย ว่าจิตเห็นจิตเป็นอย่างไร .. ผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ ก็เป็นธรรมชาติเดียวกันเลยครับ
พอผู้รู้เห็นขันธ์ห้า ก็เอาความรู้นั้นมายึดไว้อีกที กลายเป็นตัวตนในรู้นั้นอีกที ..
โดยเฉพาะถ้าเข้าไปเห็นในสภาวธัมม์ที่ละเอียดมาก ตัวตนผู้รู้ยิ่งโต ขึ้นเรื่อยเลย
เพราะไม่ได้เห็นว่าแท้จริงแล้วผู้รู้ และความรู้ที่เข้าไปรู้ก็ไม่เที่ยงไม่มีตัวตน
ทุกอย่างเป็นเพียงเหตุปัจจัย ..
อาทิกายสงบนำมาสู่จิตสงบ เป็นเพียงเหตุปัจจัย ไม่ได้มีตัวตนเป็นต้นครับ
---------------------------
พระอาจารย์ธัม์มทีโป ตอบ:
เมื่อกายสงบย่อมพบความสุข
เมื่อพบความสุขจิตย่อมตั้งมั่น
เมื่อจิตตั้งมั่นจิตย่อมเป็นหนึ่ง
เมื่อจิตเป็นหนึ่งปัญญาย่อมเกิด .. เมื่อปัญญาเกิด
ย่อมพิจารณาเห็นสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลก
ล้วนไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เกิดดับที่จิตภายในไปเนืองๆ
เมื่อภายในจิตรู้สึกโดยตัวของมันเอง
มีตัวมองรับรู้อยู่ และมีตัวเห็น เป็นปัญญาตามเห็นอยู่
เหมือนภายในเป็นห้วงแห่งจักรวาลไม่มีประมาณ ..
เป็นความสงบที่ลึกซึ้ง ไม่มีการปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น
จิตก็เป็นอิสระ โดยตัวของมันเอง
มันก็จะเห็นสภาวะภายในพุ่งเข้าไปเรื่อยๆ
เป็นจักรวาลของใจไม่มีประมาณ เป็นภายในที่ลึกซึ้งไม่มีที่สิ้นสุด
กว้างขวางไร้ขอบเขต
ตัวรู้ และปัญญา เดินทางไปพร้อมกัน
ไปรู้เห็นในสภาวะเกิด-ดับที่จิตภายใน
และตัวปัญญาก็ไปเห็นแจ้งอีกทีนึง
เมื่อจิตเกิด-ดับ แกร่งกล้ารวมเป็นหนึ่งเป็นอิสระ
ไม่ถูกครอบงำ บริสุทธิ์ไร้ตัวตนจากภายนอกและภายใน
ตอนนั้นผู้รู้ก็จะเป็นผู้วาง .. สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าเห็น ..
จิตภายในเมื่อบ่มเพาะ รู้สึกไปเรื่อยๆ
เพียรไปเนืองๆ จิตภายในก็จะหลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น
เพราะไม่ยึดมั่นจิตจึงหลุดพ้น เป็นอิสระจากอารมณ์ทั้งปวง
เพราะไม่มีตัวตน...
22 มี.ค. 2565
23 มิ.ย. 2568
29 พ.ค. 2567
4 ก.พ. 2567